บทที่ 6 เด็กเหล่านี้ดูคุ้นเคย
ประตูโกดังปิดกระแทกเสียงดังปัง ก้องกังวานไปทั่วพื้นที่เล็กๆ อันมืดมิด
โซอี้กับเลียมถูกผลักเข้ามาข้างในด้วยกัน
มันเป็นห้องเก็บของแคบๆ ขนาดไม่ถึงสิบตารางเมตร ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงไฟ
โซอี้ยืนตัวแข็งทื่อ กอดตุ๊กตากระต่ายยัดนุ่นเก่าๆ ของเธอไว้แน่น
เธอตัดสินใจไม่ถูกว่าจะยืนหรือจะนั่งยองๆ ลมหายใจของเธอหอบสั้นและถี่
ครู่ต่อมา เธอก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆ ในมุมห้อง ก้มหน้าลงและกัดนิ้วตัวเองอย่างแรง
“โซอี้!” เลียมร้องเรียกแผ่วเบา ก่อนจะรีบย่อตัวลงไปห้ามเธอ
แต่โซอี้กลับผงะถอยโดยสัญชาตญาณ เหมือนสัตว์ตื่นตกใจที่พร้อมจะหนี
“อย่ากัดสิ ฟังพี่นะ... อย่ากัด” เลียมแทบจะร้องไห้ออกมา
เขาไม่กล้าดึงตัวโซอี้แรงๆ จึงได้แต่เกลี้ยกล่อมเธออย่างอ่อนโยน “โซอี้ นี่พี่เอง เลียมไง นี่เลียม”
แต่โซอี้ดูเหมือนจะไม่ได้ยิน ราวกับตกอยู่ในภวังค์
เลียมสูดหายใจเข้าลึกๆ พิงกำแพงคอนกรีตที่เย็นและชื้น แล้วเริ่มใช้นิ้วเคาะพื้นเบาๆ
จังหวะการเคาะนั้นสม่ำเสมอ ชวนให้นึกถึงวิธีที่ลีน่าเคยใช้ปลอบพวกเขาสมัยเด็ก
จากนั้น เขาก็เริ่มฮัมเพลงกล่อมเด็กที่คุ้นเคยแผ่วเบา
การเคลื่อนไหวของโซอี้ช้าลง แรงที่กัดก็น้อยลง แม้ที่มุมปากจะยังมีเลือดซิบอยู่ แต่อารมณ์ของเธอก็สงบลงอย่างเห็นได้ชัด
“โซอี้ ได้ยินพี่ไหม พี่อยู่นี่นะ”
ในที่สุดโซอี้ก็คลายฟันออกจากนิ้ว เสียงของเธอเจือสะอื้นขณะขยับเข้าไปใกล้เลียม ซบศีรษะเล็กๆ ลงบนไหล่ของเขาและกำแขนเสื้อเขาไว้แน่น
“ที่นี่มืดจังเลย”
“พี่รู้” เลียมกอดเธอเบาๆ “ไม่เป็นไรนะ พี่อยู่นี่แล้ว”
นอกโกดัง ประตูห้องควบคุมที่อยู่สุดทางเดินเลื่อนเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
ชายคนหนึ่งก้าวเข้าไปข้างใน ประตูโลหะปิดตามหลังเขา ตัดเสียงรบกวนจากภายนอกจนหมดสิ้น
ในอากาศมีกลิ่นยาฆ่าเชื้อจางๆ เจือปนอยู่ ผสมกับเสียงหึ่งๆ ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
แสงไฟเหนือศีรษะสลัว เหมือนถูกปรับให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงันที่น่าอึดอัด
เขาเดินไปที่อ่างล้างมือตรงมุมห้องแล้วหยุดนิ่ง
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือขึ้นปลดกระดุมเม็ดแรกที่คอเสื้อ ตามด้วยเม็ดที่สอง
นิ้วเรียวยาวของเขาสัมผัสขอบหน้ากาก กดลงไปเบาๆ—
เสียงปลดล็อกดังชัดเป็นพิเศษในความเงียบ
หน้ากากโลหะสีเทาเงินถูกถอดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีโครงหน้าคมคาย
กระจกสะท้อนใบหน้าของคิลเลียน คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน และแนวกรามที่แข็งกระด้างราวกับสลักจากหิน
เขายังไม่ทันได้ถอดถุงมือดี โทรศัพท์ก็สั่นไม่หยุด ชื่อของอิซาเบลลาปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
คิลเลียนขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้รับสาย
ไม่ถึงสามวินาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ลดละ
เขารับสายด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีอะไร”
“คิลเลียน คุณอยู่ไหนคะ ฉันรออยู่ข้างล่างมาเกือบชั่วโมงแล้ว ไหนเราตกลงกันแล้วว่าจะไปทานมื้อค่ำ”
“ผมไม่ได้ตกลง”
“คุณพูดเมื่อคราวก่อนนี่คะ!” น้ำเสียงของอิซาเบลลาเจือทั้งความออดอ้อนและความหงุดหงิด “เมื่อก่อนคุณไม่เคยเป็นแบบนี้นะ...”
“อิซาเบลลา” คิลเลียนขัดจังหวะเธอ เสียงของเขาต่ำลง “อย่าลืมสถานะของตัวเอง”
ในตอนนั้นเอง เสียงของเลียมกับโซอี้ก็ดังออกมาจากจอภาพ
คิลเลียนเงยหน้ามองจอ แต่ก่อนที่จะได้พิจารณาให้ชัดเจน เสียงของอิซาเบลลาที่ทั้งโกรธและกระวนกระวายก็ดังแทรกเข้ามาในโทรศัพท์
“นั่นเสียงเด็กกำลังพูดอยู่ทางนั้นเหรอ”
คิลเลียนยังคงนิ่งเงียบ
“ใช่เด็กแปลกหน้าพวกนั้นที่สนามบินหรือเปล่าครับ ทำไมท่านถึงไปอยู่กับพวกเขา ผู้หญิงคนนั้นก่อกวนอะไรรึเปล่าครับ เธอ...”
คิลเลียนไม่ฟังต่อและกดวางสายไป
เขามองเด็กสองคนบนจอภาพ แววตาเคร่งขรึมลง
ในภาพจากกล้องวงจรปิด เลียมกับโซอี้ขดตัวอยู่มุมโกดังราวกับเงาเล็กๆ สองเงา
เขาไม่ได้ไม่คุ้นหน้าเด็กสองคนนี้เสียทีเดียว
ที่สนามบินวันนั้น เด็กผู้ชายที่พุ่งออกไปปกป้องผู้หญิงคนนั้น และเด็กอีกคนที่มีดวงตาว่างเปล่าและกอดของเล่นไว้แน่น
คือพวกเขา
สายตาของคิลเลียนจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเลียมนานหลายวินาที
มีบางอย่างผิดปกติ
ตั้งแต่แรกเห็นผู้หญิงคนนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาบางอย่าง
เธอบุกรุกเข้ามาในเขตหวงห้าม พยายามล้วงข้อมูล และอาจจะกำลังเสแสร้งเพื่อเรียกความสงสาร...
ตามหลักการแล้ว เขาควรสั่งให้จัดการเธอออกไปทันทีโดยไม่ต้องเหลียวแล
แต่เมื่อดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขา และเด็กคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัยว่า “คุณมีครอบครัวไหม”
ชั่วขณะหนึ่ง เขาเกือบจะตอบไปว่า “มี”
ไร้สาระ ไร้สาระสิ้นดี
เขาเกลียดชังอารมณ์ความรู้สึกทุกรูปแบบ
ทว่าเมื่อครู่ เขาไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย และแม้กระทั่งคำสั่งที่ว่า “พาพวกเขาออกไป” ก็ยัง...อ่อนโยนผิดปกติ
อ่อนโยนราวกับกลัวว่าพวกเขาจะตื่นตกใจ
กลัวงั้นหรือ?
ทันทีที่คำนั้นผุดขึ้นในความคิด แววตาของคิลเลียนก็มืดลง
เขามองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก รอยขมวดระหว่างคิ้วลึกขึ้น
“เลียม... โซอี้...”
เขากระซิบชื่อนั้นออกมา
เขามั่นใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อเด็กพวกนี้มาก่อน แต่มีบางอย่างในใจกำลังปั่นป่วน ราวกับวงจรที่ขาดสะบั้น เหมือนฟันเฟืองที่ติดขัด กำลังบดขยี้จิตสำนึกของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คิลเลียนค่อยๆ ยกมือขึ้น บีบสันจมูกของตัวเองอย่างแรงด้วยนิ้วโป้งและนิ้วชี้
ความเจ็บปวด
เป็นความเจ็บปวดชนิดที่ยาแก้ปวดชนิดไหนก็ไม่อาจบรรเทาได้—ความเจ็บปวดร้าวลึกราวกับว่าบางสิ่งที่ถูกฉีกกระชากออกไปกำลังพยายามจะงอกกลับขึ้นมาใหม่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขารู้สึกแบบนี้
ที่ผ่านมาเขาเลือกที่จะกดมันไว้เสมอ แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป
ราวกับว่าเขาเคยเผชิญหน้ากับตัวตนที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน เคยมีปฏิกิริยาแบบนี้มาก่อน
ตามสัญชาตญาณ เขาอยากจะปฏิเสธมัน แต่ภาพความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนกลับวาบขึ้นมาในหัวอย่างไม่มีเหตุผล
คืนนั้น เขาจำรายละเอียดไม่ได้ ไม่มีภาพที่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ จำได้เพียงว่ารู้สึกเหมือนถูกวางยา ร่างกายร้อนรุ่มแทบควบคุมไม่อยู่
เช้าวันต่อมา ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ แต่ไม่มีร่องรอยว่ามีใครอื่นอยู่ในห้อง
อิซาเบลลาปรากฏตัวขึ้นมาได้ถูกจังหวะพอดี พร้อมกับอ้างว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน
เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่มีผู้ต้องสงสัยคนอื่น
แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดก็ดูเหมือนจะถูกดัดแปลง ไม่ปรากฏภาพอะไรเลย
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่ออิซาเบลลาอีก ไม่มีความปรารถนาจะแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ แต่ความทรงจำในคืนนั้นยังคงชัดเจน เขาจึงยอมให้อิซาเบลลาอยู่ใกล้ๆ
ต่อมา เขาก็สรุปเอาเองว่าคงเป็นเรื่องที่ถูกจัดฉากในงานเลี้ยงสังสรรค์และไม่ได้ใส่ใจกับมันอีก
แต่ตอนนี้ พอคิดถึงผู้หญิงที่สนามบินคนนั้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด ความร้อนรุ่มที่อธิบายไม่ได้กลับเริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ค่อยๆ แล่นริ้วขึ้นมาจากช่องท้องส่วนล่าง แผ่ซ่านไปทั่วทุกปลายประสาท
คิลเลียนหลับตาลง บังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ แต่กลับพบว่าลำคอของเขาแห้งผาก


















































